vipawan (@vipawan) • Hey
vipawan (@vipawan) • Hey
Stats
Following: 87
Followers: 31
Publications
Art of food 🍱
Mayong Chid Cheesecake. It’s so delicious 🤤.
Yummy 🤤.
Egg with sweet eye 👁️. The first time to cook it. 😜
Finally!!😂😂😂
The last of this meal!!😁
Kodai fish is the must. It’s very delicious 🤤.
Tako Wasabi. 🥳
Ice Rocket salad 🥗. Healthy healthy.❤️🩹
Eating time. Yummy 🤤.
Match green tea. 🍵
Starter of the day!!!
The last dessert 🍨 for tonight.🥳
Old tradition Sukhothai Tom yum with noodles. So good 😊. Yummy 🤤
Eating again. Ahahahahah 🤣🤣🤣
Afternoon break. 🚨 Its a mouth watering. Let a picture explain it.🤤
พักร้อนปีโควิท@ซิซิลี (Sicily) # เกริ่นนำ (Introduction) ซิซิลีเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ตรงปลายสุดของประเทศอิตาลี ถ้าดูตามแผนที่ประเทศอิตาลี มีรูปร่างคล้ายรองเท้าบูต ซิซิลีก็คล้ายลูกบอลที่กำลังโดนเตะ ภูมิประเทศด้านรอบเกาะเป็นที่ราบ ถัดเข้าไปตรงกลางเป็นที่ราบสลับเนินเขา รวมทั้งภูเขาไฟ ทั้งเกาะมีที่ราบเพียงประมาณ 20% ด้วยขนาดเส้นรอบวงกว่า 1,500 กม. ที่ติดกับทะเลทำให้มีการติดต่อกับเมืองอื่นๆอีกฝั่งของทะเล ทั้งอิตาลีทางด้านบน แอฟริกา และกรีกทางด้านล่าง แบ่งเกาะเป็นสองฝั่งคือตะวันออกอันมีคาตาเนียเป็นเมืองใหญ่กับตะวันตกอันมีปาเลอโม่เป็นเมืองใหญ่ เกาะนี้มีคนอยู่มาหลายพันปี แต่เริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตศักราช ช่วงที่กรีก กำลังเจริญรุ่งเรือง ที่ทางชักเริ่มไม่พอเลยขยายมายึดครองตามเมืองชายทะเลของเกาะ ทิ้งสิ่งก่อสร้าง วัฒนธรรม การปกครอง แบบกรีกเอาไว้ ปัจจุบันก็ยังมีซากวิหารแบบกรีกให้เห็นอยู่ทั่วไป พอกรีกเริ่มเสื่อม ยุคสมัยผ่านมาเป็นโรมันครองยุโรปก็รุกรานมาถึงซิซิลี สุดท้ายก็ยึดเกาะนี้เป็นประเทศราช ศิลปะ วัฒนธรรมของโรมันก็เข้ามาผสานกับกรีกและพื้นเมือง โรมันไม่ได้เข้ามาปกครองจริงจัง แค่ใช้เป็นฐานอาหารทะเลให้กับชนชั้นสูง ต่อมาเมื่อโรมันเริ่มเสื่อมการปกครองก็กลับสู่ชาวซิซิลีอีกครั้ง พอช่วงคริสตศรรตวรรณที่ 8 อาหรับเรืองอำนาจโดยเฉพาะแขกมัวร์ หรือแขกขาวก็แพร่อิทธิพลมายึดครองซิซิลีอีก ศิลปะ วัฒนธรรมเป็นอาหรับ วิหาร โบสถ์ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด โดยสร้างเสริมเข้าไปกับของเดิม ไม่ได้ทำลาย พอหมดยุคอาหรับ ช่วงศตวรรษที่สิบเป็นต้นมาก็ถูกชาวนอร์มันเข้ามายึดครอง ศิลปะ วัฒนะธรรมก็เป็น นอร์มัน แต่ยุคนี้นอร์มันไม่บังคับ ให้อิสระกับทุกเชื้อชาติที่อยู่เดิม ศาสนาอะไรก็นับถือไปไม่บังคับ จึงเห็นศิลปะที่ผสานกันระหว่างอาหรับกับนอร์มานได้ทั่วไป ที่สำคัญมีสามแห่งคือโบสถ์ที่ปาเลอร์โม มอนเรียล และเซฟาลู ที่จัดเป็น UNESCO site หลังยุคนอร์มัน และหลังภูเขาระเบิดครั้งใหญ่ตอนศตวรรษที่16 เมืองทางตะวันออกซึ่งแทบจะราบไปหมด ก็สร้างกันขึ้นมาใหม่พร้อมกับการถูกยึดครองโดยสเปน เมืองทางฝั่งนี้จึงเห็นศิลปะแนวบาโรกเป็นสำคัญ พอยุครวมชาติอิตาลีช่วงศตวรรษที่ 19 ตอนแรกซิซิลีไม่เข้าร่วม จนนายพลการิบาลดิ เอากองทัพเล็กๆมาปราบจึงเข้าร่วมแบบไม่เต็มใจ มีการแข็งข้อ กบฏ มาตลอด รวมทั้งการกำเนิดของมาเฟีย ซิซิลีจึงเป็นแหล่งอันตราย ไม่เจริญไปพร้อมกับแคว้นอื่นๆของอิตาลี พอเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับเยอรมันถูกถล่มแหลก ปาเลอโม่ซึ่งเป็นท่าทหารเรือสำคัญโดนถล่มเกือบจะทั้งเมือง ยกเว้นเฉพาะตามโบสถ์เก่าแก่ที่พลบินทิ้งระเบิดไม่ลง หลังสงครามโลกครั้งที่สองการฟื้นฟูประเทศแถบนี้ยังช้ากว่าแคว้นอื่นมาก ปัญหาสำคัญก็เรื่องคอรัปชั่นและมาเฟีย จนหลังปี 1980 มีการกวาดล้างมาเฟียอย่างจริงจัง รวมทั้งการเจรจากันเองทำให้มาเฟียค่อยๆลดอิทธิพลลงและถอยไปอยู่มุมมืด ไม่ได้เห็นอยู่ทั่วไป จนปี 2006 เจ้าพ่อมาเฟียตัวใหญ่สุดถูกจับได้ซิซิลีจึงเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่พร้อมกับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะมีพร้อมทั้งทะเล ชายหาด อาหาร ศิลปะ วัฒนะธรรมอันหลากหลาย ตอนนี้ซิซิลีเป็นแคว้นที่พัฒนาไปพอๆกับแคว้นอื่นๆในอิตาลีแล้วโดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออก ทางฝั่งตะวันตกยังมีความเถื่อน ดิบและซากปรักหักพังที่ยังซ่อมไม่เสร็จอยู่บ้าง แต่ปลอดภัยพอที่จะมาเยี่ยมเยือนได้แล้ว จุดขายด้านการท่องเที่ยวมีตั้งแต่ ชายหาดรอบเกาะ ธรรมชาติด้านใน ภูเขาไฟ พืชผักผลไม้ อาหารทะเล วัฒนธรรมด้านอาหาร ศิลปะยุคต่างๆ เมื่อโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง รถไฟการเดินทางสาธารณะ ความปลอดภัยได้รับการพัฒนาให้ได้มาตรฐาน ร่วมกับค่าครองชีพที่ถูกเมื่อเทียบกับแคว้นอื่นของอิตาลี ซิซิลีจึงเป็นเกาะที่น่าสนใจที่จะไปเยี่ยมเยือน ค่อยๆเล่าให้ฟังนะครับ
Try Italian food in Thailand!
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว; ทะเลสาบกราด้า ตอนที่ 2 เมือง เซมิโอเน// หลังจากขึ้นเรือจากเมืองท่าเดเซนซ่าโน่ มุ่งสู่ท่าเรือเซมิโอเน่ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นเข้ามาในทะเลสาบ ระหว่างอยู่บนเรือทิวทัศน์และความรู้สึกคล้ายกับทะเลจริงมากกว่าทะเลสาบ จุดท่องเที่ยวหลักเป็นประสาทเซมิโอเน่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองและป้อมปราการประจำเมืองด้วย ขนาดไม่ใหญ่มากภายในก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ใครมาแนะนำว่าถ้าคิวยาวก็ผ่านไปได้ดูแค่ข้างนอกก็พอ จุดถัดมาคือตัวเมืองที่อยู่ด้านติดชายหาดมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสปา และโรงแรมวิวทะเลสาบมากมาย และสุดท้ายคือชายหาด ซึ่งมันแทบจะไม่มีหาดให้ลงไปเล่นน้ำได้เลยนะ ถ้าเทียบกับชายหาดบ้านเรานี่คนละเรื่อง ถึงว่าฝรั่งชอบมาทะเลเมืองไทย ส่วนตัวผมว่าทะเลเมืองไทยมีธรรมชาติที่สวยกว่า น้ำใส หาดทรายกว้าง ทรายละเอียด แต่สิ่งปลูกสร้างที่ไม่เป็นระเบียบ รวมทั้งความสกปรกทำให้ความสวยงามหายไปเยอะ ของอิตาลีนี่ทะเลคือทะเลไม่ค่อยมีหาดให้ลงชายฝั่งเป็นโขดหินส่วนใหญ่ แต่เค้าสร้างทางเดินริมหาด บ้านเรือนปลูกเป็นระเบียบถ่ายรูปออกมาจึงดูสวยและครบองค์ประกอบ แบบว่าทะเลเราธรรมชาติเต็มสิบ แต่สิ่งปลูกสร้างลบสอง เหลือแปดคะแนน แต่ของเค้าธรรมชาติห้าคะแนนสร้างเสริมบวกอีกสาม เลยได้สักแปด แล้วแต่ชอบแบบไหน สำคัญอีกอย่างคือทะเลบ้านเราอากาศและแดดมันร้อนมากกกจริงๆ แต่ที่นี่ขนาดร้อนสุดก็ยังประมาณครึ่งเดียวของบ้านเรา ถ้าทะเลและแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติบ้านเราวางผังและมีการจัดการที่ดีแบบเค้าก็คงดี สรุปว่าเมืองนี้เหมาะกับการมาเดินเล่นพักผ่อนดูบ้านเมือง นั่งเรือชมวิวทะเลสาบ นั่งเล่นริมทะเลสาบ ดูผู้คน กินปลาทะเลสาบ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์จิบเครื่องดื่มหรือกาแฟ ผ่อนคลาย หรือมาทำสปา ในที่ๆคนไทยหรือเอเชียไม่ค่อยได้มากัน ค่าใช้จ่ายจัดว่าไม่แพงนัก 13 July 2020
/สุดสัปดาห์พาเที่ยว; เวนิช # 3 มูราโน่// ถ้านั่งรถไฟรอบเช้าจากมิลานก็จะถึงเกาะหลักเวนิชประมาณห้าโมงเช้าซึ่งเป็นช่วงที่คนเยอะแล้ว เราจึงตัดสินใจหนีคนออกไปเกาะรอบนอกก่อน เกาะแรกที่ไปคือมูราโน่ ซึ่งเป็นแหล่งทำแก้วเจียรไนในยุคกลางถึงยุคเรเนซองค์ แม้ว่าบางคนจะแนะนำว่าถ้ายูไม่ได้สนใจเครื่องแก้วเจียรไนไม่ต้องไปหรอกเมืองนี้ แต่ก็อยากเห็นกับตา นั่งเรือจากท่าเรือหลักไปประมาณครึ่งชั่วโมงชมวิวระหว่างทางเพลินๆก็ถึง แวบแรกคือเหมือนเป็นเกาะโรงงานสิ่งก่อสร้างเป็นตึกรูปทางสี่เหลี่ยมทั้งหมดไม่มีโบสถ์ ไม่มีศิลปกรรมอะไร ชั้นล่างของตึกเป็นร้านขายเครื่องแก้วเจียรไน สมัยก่อนคงอลังการแต่เดี๋ยวนี้แบบนี้หาที่ไหนก็มี ตึกสีตุ่นๆ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟบ้างประปราย แต่ดูก็รู้ว่าเปิดเพื่อรับนักท่องเที่ยว ไม่มีแบบร้านเก่าแก่ท้องถิ่น แต่ข้อดีก็คือตามท่าเรือ ตามคลอง น้ำใสมองลงไปเห็นแพลงตอน เห็นปลาตัวเล็กๆว่ายไปมา แสดงถึงระบบนิเวศน์ที่ยังดีอยู่ คนก็ไม่เยอะนัก หามุมสวยๆถ่ายรูปแบบไม่ติดคนอื่นได้สบายๆ เดินเล่นประมาณชั่วโมงนึงก็ครบละ ไปเกาะต่อไปดีกว่า 22 July 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว; เวนิช # 2// เวนิชอยู่ห่างจากมิลานไปทางตะวันออก 280 กม. การเดินทางจากมิลานไปเวนิชด้วยรถไฟความเร็วสูงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง มีรถไฟวันละสิบกว่าเที่ยว ราคาช่วงโปรซึ่งมีบ่อยๆ ไป-กลับตกสองพันบาทสำหรับชั้นมาตรฐาน รถไฟความเร็วสูงของอิตาลี สะดวก สะบาย สะอาด ตรงเวลา และวิวสองข้างทางสวยงาม พอมาถึงเวนิชแล้วต้องเดินทางด้วยเรือหรือเท้าเท่านั้น ห้ามรถทุกชนิดรวมทั้งรถจักรยานด้วย เรือมีหลายสายทำหน้าที่แทนรถไฟใต้ดิน รถบัสเลย google บอกได้ว่าไปขึ้นท่าไหนสายไหน ตั๋วเรือเที่ยวละ 7.5 ยูโรแต่ซื้อตั๋วเหมา 24 ชม.ราคา 20 ยูโรได้ ไปได้ทั้งในเกาะหลักและเกาะโดยรอบเช่น มูราโน่ บูราโน่ ลิโด้ เค้าไปทำอะไรที่เวนิชกันนะเหรอ ก็ไปเดินเล่นชมบรรยากาศที่เกาะหลัก ไปตามจุดยอดนิยม พวกสะพานข้ามคลองหลัก จตุรัสซาน มาโค โบสถ์เซนต์ มาสก์ วังเจ้าเมือง หอศิลป์ต่างๆ ร้านขายของพื้นเมือง เดินข้ามสะพานโน้นนี้ไปมา ถ่ายรูปได้ทุกจุด กินอาหารทะเลท้องถิ่น หรือออกไปเกาะรอบๆ ดูบ้านเมืองคนท้องถิ่น แนะนำให้มาค้างสักคืนโรงแรมสี่ดาวคืนละไม่เกินสี่พันหาได้ไม่ยากจะได้มีเวลาตอนเย็น-กลางคืนและเช้า ชมเมืองแบบส่วนตัว เพราะตอนสาย-บ่ายคนเยอะแม้ว่าจะหายไปราวหนึ่งในสามแต่ก็ยังเยอะอยู่ดี แล้วก็เตรียมร่างกายให้พร้อมเพราะต้องเดินมากกว่าหมื่นก้าวแน่นอน แล้วมาเล่าต่อ 21 July 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว ; เวนิช หลังโควิท 1// เมืองคู่แฝดของกรุงเทพ (หรือเปล่า) เวนิชตะวันตก หนึ่งในจุดหมายปลายทางของเกือบทุกคน จากเมืองท่า เมืองแห่งอำนาจ มาสู่เมืองท่องเที่ยวเต็มตัว ก่อนโควิทมาคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก น้ำในคลองแทบจะสีเดียวกับคลองแสนแสบ โควิทมาปิดเมืองไปสี่เดือน ตามข่าวว่าธรรมชาติฟื้นมาเยอะ เดี๋ยวพาไปดูกัน 20 July 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว: ทะเลสาบกราด้า ตอนที่ 1 การเดินทาง// รอบๆมิลานมีทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะจากเทือกเขาเอลป์อยู่สามแห่ง คือ กราด้า มาร์จอเร่ และโคโม่ ซึ่งห่างจากตัวเมืองมิลานไม่เกิน 100 กม. ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดคือ กราด้า สุดสัปดาห์นี้จะพาไปกราด้ากัน ทะเลสาบกราด้ามีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม เส้นรอบวงประมาณ 150 กม. รอบๆจะมีเมืองเล็กๆน่ารักๆอยู่ แต่เมืองที่ถือเป็นไฮไลน์คือเมือง เซมิโอเน่ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ตรงกลางฐานของสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในทะเลสาบประมาณ 5 กม. เป็นคล้ายเมืองหลวงของกราด้า มีประสาท ชุมชน ตลาดมาแต่โบราณย้อนไปได้กว่า 2 พันปี ตัวเมืองจมน้ำไปนานเพิ่งโผล่พ้นน้ำมาได้ราวๆ 100 ปี จึงมีทั้งโครงสร้างเดิมและของใหม่อยู่ด้วยกัน ปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดในบรรดาเมืองที่อยู่รอบๆทะเลสาบกราด้านี้ การเดินทางมาเมืองเซมิโอเน่จากมิลาน ส่วนใหญ่จะเดินทางมาที่ฐานหนึ่งของสามเหลี่ยมคือเมือง เดเซนซ่าโน่ ที่นี่จะมีท่าเรือ รถบัส และทางเดินเลียบทะเลสาบให้เลือกเดินทางไปเซมิโอเน่ สำหรับผมวางแผนไปเช้า เย็นกลับจากมิลาน โดยขนส่งสาธารณะ ก็เริ่มจาก เดินทางโดยรถไฟไปที่เมืองเดเซนซ่าโน่ ซึ่งมีทั้งแบบท้องถิ่นและความเร็วสูงซึ่งราคาต่างกันมาก ผมเลือกแบบท้องถิ่น ราคาไป-กลับ คนละ 700 บาท ใช้เวลา ชั่วโมงครึ่ง แล้วเดินจากสถานีรถไฟไปท่าเรือเดเซนซ่าโน่ประมาณ 1 กม. เพื่อไปขึ้นเรือต่อไปยังเมืองเซมิโอเน่ ค่าตั๋วไป-กลับคนละ 210 บาท วางแผนว่าไปเที่ยวเซมิโอเน่ก่อนแล้วค่อยกลับมาเที่ยวเดเซนซ่าโน่ แล้วนั่งรถไฟกลับบ้านที่มิลาน ออกเดินทางจากบ้าน 8.30 น. กลับถึงบ้าน 21.00 น. ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน รถไฟท้องถิ่นนั้นก็จะจอดบ่อยความเร็วเฉลี่ยตก 70 กม./ชม. ราคาเท่าเดิมตลอดปี ไม่จำกัดที่นั่งไม่ต้องจองล่วงหน้านานๆหรอกเพราะระบุที่นั่งไม่ได้ ไปลุ้นและแย่งกันตอนขึ้นถ้าขึ้นต้นทางก็โอกาสได้นั่งสูง แต่ช่วงนี้ยัง social distancing ที่นั่งก็เหลือครึ่งเดียว ไปลุ้นเอา ถ้าซื้อตั๋วจาก internet จะระบุเวลาเที่ยวรถไว้แล้ว สามารถใช้ขึ้นรถไฟรอบนั้นหรือถัดไปได้อีก 6 ชั่วโมง แต่ถ้าซื้อจากตู้ขายตั๋วจะยังไม่ได้ระบุเวลาอันนี้ต้องไปหาเครื่องปั๊มเวลาว่าเราจะใช้ตั๋วใบนี้แล้วนะ แล้วก็จะใช้ได้ไปอีก 6 ชั่วโมง บนรถจะมีคนตรวจตั๋วถ้ายังไม่ไปปั๊มระบุเวลา หรือไม่มีตั๋วจะโดนปรับเป็นหมื่นบาทเลย สำหรับเรือนี่ไปซื้อตั๋วที่ท่าเอาได้เลยก่อนขึ้น เรือนี่มีไปหลายเมืองราคาก็ตามระยะทางหรือจะซื้อตั๋วเหมาเป็นวันเลยก็ได้ การเดินทางภายในทั้งสองเมืองเพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เดินท้าวเอานะ กะไว้ว่าวันนี้น่าจะมีสองหมื่นก้าว เตรียมซ้อมไว้วันละเกือบหมื่นก้าวละน่าจะไหว การท่องเที่ยวสำคัญที่สุดคือร่างกายต้องพร้อม ซ้อมกันไว้ก่อนนะจะได้เที่ยวแบบไม่เหนื่อยมาก เดี๋ยวมาเล่าต่อ เมืองแรกเซมิโอเน่ นะ 12 July 2020
GM Better to start Friday morning with a cup of cappuchino
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว; เวนิช # 6 เวนิชยามเช้า// หลังจากอยู่จนถึงพระอาทิตย์ตกแล้วคนก็ยังเยอะอยู่ เลยลองอีกรอบตอนเช้า ดูจากพยากรณ์พระอาทิตย์ขึ้นตีห้าครึ่งเลยออกจากโรงแรมเดินมาตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เรือยังไม่วิ่ง แล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้รูปแสงยามเช้า คลองที่เงียบสงบ ทางเดิน ที่ต่างๆ เงียบราวกับเป็นเกาะส่วนตัว แต่พออยู่กับบรรยากาศเงียบๆแบบนี้สักพักก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เวนิชละ ขอคนมาอีกหน่อยดีกว่านะ เมืองต้องมีคน จึงจะเป็นเมือง สุดท้ายความเห็นส่วนตัวคิดว่าเวนิชยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มนุษย์สร้างที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การที่โควิทมาทำให้ธรรมชาติฟื้นคืนมามาก นักท่องเที่ยวที่ไม่มากจนเกินไปแบบนี้น่าจะกำลังดี น่าจะมีการจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าเกาะ และปิดเกาะซักปีละเดือนก็ยังดี เอาช่วงเดือนพฤศจิกายนที่น้ำมักจะท่วมอยู่แล้วก็ได้ ปล.ภาพวันนี้ทั้งหมดเป็นแสงธรรมชาติจากกล้องไม่ได้ปรับแต่งใดๆ 24 July 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว; เวนิช # 5 เวนิชยามเย็น// ได้เรือเที่ยวเสริมกลับจากเกาะบูราโน่ตอนเกือบห้าโมงเย็น คนเยอะมาก กลับมาขึ้นเกาะหลักที่ท่าซาน มาร์โก ตอนเกือบหกโมงเย็น เดินตามเส้นทางชมเมืองหลัก จากสะพานริอัลโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สะพานที่ข้ามคลองหลักและว่ากันว่าเป็นสะพานที่สวยที่สุด เดินเข้าซอยโน้นนี้ เจอแผ่นโปสเตอร์เทศกาลศิลปะทั่วไป สังเกตุว่าทางเดินสะอาดกว่าเดิมมาก มาโผล่ด้านหลักซาน มาร์โกสแควร์ โบสถ์เซนต์ มาร์คซึ่งยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปจนถึงเดือนกันยายนและหอระฆัง เดินผ่านไปยังวังเจ้าเมือง และท่าเรือกอนโดล่าซึ่งเป็นมุมมหาชนที่ต้องมาถ่ายรูปกับเรือกอนโดล่าแล้วฉากหลังเป็นโบสถ์ ซาน มาร์จอเร่ ซึ่งอยู่อีกเกาะนึง คนยังเยอะพอสมควร ยังหาโอกาสถ่ายให้ไม่ติดคนไม่ได้ เดี๋ยวคงต้องมาตอนเช้าอีกรอบ แล้วหาที่นั่งตรงท้ายลานมองไปด้านหน้าเป็นโบสถ์ เซนต์ มาร์ค ผู้คนเดินไปมา ประกอบกับเสียงเพลงคลาสสิคของวิวัลดิ จากร้านอาหารด้านข้าง บรรยากาศดีจนไม่อยากลุกไปไหนเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูตอนเช้า ตอนที่ยังไม่มีคนกัน 22 July 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว # ภูเขาโดโลมิเท่ (Dolomite); 2 ทะเลสาบคาเรซซ่า (Lago di Carezza)// โดโลมิเท่อยู่ห่างจากมิลานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 300 กม. การเดินทางโดยรถยนต์สะดวกที่สุด เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขา รถบัสประจำทางมีแต่ก็เข้าไม่ถึงทุกที่และมีนานๆที ขับรถจากมิลานจะผ่านทะเลสาบกราด้า และเทรนโตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวภูเขาที่แห่งนึงจะแวะไปด้วยก็ได้ โดยทั่วไปจะเดินทางไปทางฝั่งตะวันตกก่อนแล้วขับรถผ่านเส้นทางโรแมนติกโดโลมิเท่ตัดไปทางฝั่งตะวันออก เมืองที่คล้ายๆเมืองท่าของโดโลมิเท่คือโบลซาโน่ ที่นี่เป็นที่ราบแองกระทะ มีสถานีรถไฟ และมีความเป็นเมืองใหญ่ มีโบสถ์ วิลล่าเจ้าเมือง ตัวเมืองเก่า โรงแรม ร้านอาหาร หลากหลายราคาให้เลือก คนที่งบไม่มากนักมักจะใช้เมืองนี้เป็นฐานแล้วค่อยขับรถเข้าไปตามเมืองภูเขาซึ่งห่างออกไป 40-60 กม. ที่แรกคือทะเลสาบคาเรซซ่า ขับรถขึ้น ลงดอยไปเรื่อยๆ จากโบลซาโน่ประมาณ 40 กม. ก็จะถึงที่ราบบนเขาซึ่งมีทะเลสาบสีเขียวมรกตใส เส้นรอบวงประมาณ 1 กม. รออยู่ จุดนี้เป็นที่ถูกใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของโดโลมิเท่ด้วย มีทางเดินรอบๆทะเลสาบนี้หลายเส้นทาง แต่เวลาน้อยอย่างเรา เอาแค่เดินรอบทะเลสาบถ่ายรูปไปเรื่อยๆก็ฟินแล้ว นั่งชมความงามตรงจุดอย่างในภาพ สลับกับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวิวนี้ก็คุ้มกับการนั่งรถเกือบหกชั่วโมงแล้ว Sep 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว# ภูเขาโดโลมิเท่ (Dolomite); 3 โบสถ์ ซานตา แมดดาลิน่า (Santa Maddalina@Val de Funes) หลังจากเดินชมรอบทะเลสาบ คาเรซซ่า และแวะถ่ายรูปแทบทุกจุด ด้วยความทึ่งในธรรมชาติและรู้สึกราวกับอยู่ในภาพฝัน แต่ภาพที่บันทึกได้นั้นถูกขอบจำกัดไปมาก ไม่เหมือนมาอยู่ สัมผัส และมองด้วยตาตัวเอง ขนาดที่แรกยังว้าวได้ขนาดนี้ ไฮไลท์ถัดไปคือโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา โดยมีเขาเขียวและเขาหินเป็นพื้นหลัง อันเป็นรูปในโปสการ์ดที่โชว์ความงามของโดโลมิเท่อีกอันหนึ่ง โบสถ์ ซานตา แมดดาลิน่าคือโบสถ์ในรูปนั้น ตัวโบสถ์ไม่มีอะไรพิเศษ เพราะจุดที่สวยคือจุดชมวิวเนินเขาหลังโบสถ์ ทีแรกไม่รู้ว่าจะไปยังไง เพราะตามแผนที่และกูเกิลก็จะชี้เฉพาะทางไปโบสถ์ อาศัยเดินตามคนหมู่มากไปหลายทางก็พบว่าต่างก็หลงหาจุดชมวิวแบบในโปสเตอร์นั้นไม่เจอ สุดท้ายลองหาตามบล๊อกของช่างภาพสายธรรมชาติเจออันนึงชี้เป้าให้ เรารีบตามไปไม่รอช้า เส้นทางนั้นต้องเดินตามทางผ่านเขาวนขึ้นไปด้านหลังโบสถ์ประมาณเกือบ 2 กม. ณ จุดนั้นมีบ้านคนท้องถิ่นอยู่ พร้อมกับเนินซึ่งเป็นจุดชมวิวนี้ มีลุงเจ้าของบ้านคอยปรามไม่ให้เดินบนพื้นหญ้าเพราะมีพืชหญ้าท้องถิ่นอันเป็นต้นห่วงโซ่ธรรมชาติ อาหารวัวอยู่ เราว่าง่ายก็ทำตาม วิวที่เห็นตรงหน้านั้น ในวันที่ฟ้าเปิด แสงดีเช่นนี้ ช่างสวยงามราวกับภาพฝัน บรรยากาศโดยรอบ สวยกว่าในโปสเตอร์แบบเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเอาอุปกรณ์บันทึกภาพแบบไหนก็สวยโดยไม่ต้องเติมแต่ง แต่ไม่มีทางเก็บความงามนี้ได้เหมือนมาอยู่ตรงนั้น เราเดินวนชมความงามอยู่หลายชั่วโมงแบบไม่อยากกลับเลย ณ ที่ตรงนี้ ไม่มีจุดอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเลย ไม่มีร้านขายของ ไม่มีโรงแรม เป็นธรรมชาติล้วนๆ มีเพียงป้ายที่ห้ามเดินเหยียบพื้นหญ้าโชคดีของเราด้วยที่มาในวันที่ฟ้าเปิด อากาศกำลังดี มีนักท่องเที่ยวผ่านมาตรงจุดนี้ไม่ถึงสิบคน ที่ตรงนี้จึงเป็นของเราอยู่หลายชั่วโมง แค่นี้ก็คุ้มกับการขับรถมาไกลกว่า 6 ชั่วโมงแล้ว พรุ่งนี้ไปต่ออีกสองที่ Sep 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว; ภูเขาโดโลมิเท่ (Dolomite)#4 เมืองโอทิเซ (Ortisei) หลังจากชมทะเลสาบบนเขา วิวบนเขาแล้วก็ได้เวลาเที่ยวในเมืองบ้าง เมืองในเขตโดโลมิเท่ที่เป็นไฮไลท์มีสามเมืองคือ โอทิเซ วาล การ์เดน่า และ คอร์ติน่า ทั้งสามเมืองนี้จะมีจุดขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังที่ราบบนภูเขาต่างๆด้วย เราเลือกเมืองโอทิเซ เพราะมีจุดขึ้นกระเช้าไปที่ราบบนเขาที่มีชื่อสองที่ คือเซเซด้า กับ ซุยเซ่ ระหว่างที่เลือกว่าจะขึ้นไปอันไหนดีก็เดินเที่ยวเมือง หาอะไรกินก่อน เมืองโอทิเซ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตามแนวเขาจึงต้องจอดรถด้านนอกแล้วเดินขึ้นไป สองข้างทางเป็นร้านขายของกิน ของที่ระลึก และโรงแรมวิวหลักล้าน บรรยากาศน่าจะเหมาะกับช่วงหน้าหนาว ร้านอาหารรสชาติดีราคาไม่แรง แต่โรงแรมนี่ต้องระดับเศรษฐีเท่านั้น บรรยากาศเหมาะกับเดินเล่นชมโน่นนี่ ก่อนหรือหลังขึ้นกระเช้ามากกว่าตั้งใจมาเที่ยวในเมือง เดี๋ยวพรุ่งนี้มาพาขึ้นกระเช้าไปที่ราบบนเขากัน Sep 2020
//สุดสัปดาห์พาเที่ยว # ภูเขาโดโลมิเท่ (Dolomite); 5 ยอดเขาซิซเซ (Alp di Siuse) ไฮไลท์สุดท้ายสำหรับทริปโดโลมิเท่คือยอดเขาซิซเซ ชื่อเป็นยอดเขาแต่จริงๆเป็นที่ราบกว้างบนยอดเขาที่กว้างที่สุดในยุโรป ต้องขึ้นกระเช้าจากสถานีที่เมืองออร์ติเซ เรามากันตัวเปล่าแต่เห็นหลายๆคนแต่งตัวพร้อมเดินเขาจูงลูกจูงหมา เอาจักรยานเสือภูเขาขึ้นกระเช้ากันมาด้วย พอออกจากกระเช้าก็เจอกับวิวที่อึ้งไปพักใหญ่ๆ ขนาดวันนี้เมฆค่อนข้างมากยังสวยขนาดนี้ วิวแบบพาโนรามานี้ไม่มีอุปกรณ์บันทึกไดจะบันทึกได้หมด ขึ้นมาแล้วมีทางให้เดินเทรคหลายเส้นทางมาก อันยาวสุดคือเดินลงเขาไปด้านล่างใช้เวลา 9 ชั่วโมง สำหรับคนแรงน้อยมีกระเช้าเล็กลงไปยังที่ราบกว้างแอ่งกระทะด้านล่างให้เดินบนที่ราบๆกว้างยาวประมาณ 1 กม. ไว้ให้ เห็นคนสูงอายุพาเจ้าหมาลงไปเดินเล่นกันหลายคน แต่ส่วนใหญ่จะมาพร้อมชุดเดินเขา หรือจักรยานเสือภูเขามากันเป็นครอบครัวแล้วลงไปตามทางโดยรอบ สำหรับคนที่ไม่มีเวลามากต้องการชมวิวอย่างเดียวก็มีเส้นทางเดินวนรอบยอดเขาประมาณ 1 กม.หรือสายสบายก็มีร้านกาแฟและร้านอาหารให้นั่งจิบกาแฟ กินอาหารชมวิวไป โดยราคากาแฟและอาหารนั้นถูกกว่าเมืองข้างล่างหรือในมิลานซะอีก จิบกาแฟแล้วก็นึกเพลินๆว่าอิตาลีนี่เค้ามีวันหยุดยาว มีการพัฒนาแหล่งธรรมชาติให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่กับธรรมชาติ โดยแต่และแห่งมีกฎและสร้างสามัญสำนึกให้ช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติแบบนี้เอาไว้ให้คนรุ่นถัดไปได้ชมด้วย อยากให้บ้านเราเป็นแบบนี้บ้างจัง Sep 2020
พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี (Tuscany)# 4 เซียนน่า (Siena) เซียนน่าเป็นเมืองใหญ่ลำดับสองต่อจากฟลอเรนซ์ อยู่ห่างกันประมาณ 70 กม. ตัวเมืองเป็นเนินเขา เมืองเก่าตั้งอยู่บนเนินเขาสูงนัยว่าป้องกันการบุกรุกได้ดี เซียนน่าเจริญรุ่งเรืองที่สุดตอนปลายยุคกลาง (Medieval) เป็นเมืองคู่แข่งของฟลอเรนซ์ แต่พอกาฬโรคระบาดทำคนตายไป 3/4 เมืองก็หยุดอยู่แค่นั้น ความเจริญหลังกาฬโรคไปรวมศูนย์ที่ฟลอเรนซ์ซะหมด เพิ่งกลับมาฟื้นฟูหลังการรวมชาติอิตาลีเมื่อร้อยกว่าปีมานี้และมีชีวิตชีวาด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตัวเมืองเก่าเต็มไปด้วยศิลปะยุคกลางซึ่งล้วนเป็นเรื่องคริสต์คาทอลิก โบสถ์ สถาปัตยกรรม ภาพวาดต่างๆ ค่อนข้างสมบูรณ์เพราะไม่เสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่ชอบศิลปะยุคก่อนเรเนซองน่าจะชอบเมืองนี้ โดยส่วนตัวคิดว่าบรรยากาศโดยรวมมันค่อนข้างวังเวง ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ต้องฟิตร่างก่อนมาเพราะต้องเดินขึ้นลงเขาในตัวเมืองเก่า ซึ่งห้ามรถเข้า นอกจากเขตเมืองเก่า ตัวเมืองปัจจุบันคล้ายต่างจังหวัดบ้านเราน่าจะประมาณจังหวัดพิจิตร แต่ค่าที่พักแพงกว่าฟลอเรนซ์อีก ใครจะมาแนะนำพักฟลอเรนซ์แล้วขับรถหรือนั่งรถไฟมาแบบเช้าไปเย็นกลับดีกว่า Sep 2020
พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี (Tuscany)# 5 ซาน กิมิยาโน่ (San Gimignano) นอกจากสองเมืองใหญ่อย่างฟลอเรนซ์และเซียนน่าแล้วยังมีเมืองเล็กๆในแคว้นทัสคานี่อีกหลายเมือง เมืองที่มีความสำคัญรองลงมาส่วนใหญ่เป็นเมืองที่สร้างบนเนินเขาสูงเพื่อเป็นป้อมปราการก่อนถึงเมืองใหญ่ ซาน กิมิยาโน่ นี่ก็เป็นเมืองหน้าด้านของเซียนน่ จุดขายคือเต็มไปด้วยตึกสูงสีเอิร์ทโทนป้อมปราสาทมากมาย มองลงมาก็จะเห็นทัศนียภาพแบบทัสคานี คือที่ราบสลับเนิน มีแนนต้นสนและบ้านไร่สีเอืร์ทโทนสบับกันไป ที่ตอนนี้กลายเป็นบ้านพักตากอากาศของคนรวย แหล่งท่องเที่ยว และเป็นที่ตั้งของสมาพันธ์ไอศกรีมโลก มีร้านเจลาโตที่ได้รางวัลที่หนึ่งของโลกในแต่ละปีอยู่หลายร้าน แต่สำหรับลิ้นผม ผมว่าสู้ร้านท้องถิ่นโนเนมในฟลอเรนซ์ไม่ได้ Aug 2020
Firenze Vibe Before sundown at San Michelangelo square
//พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี # 1 เกริ่นนำ ตามกฎหมายอิตาลีทุกคนต้องหยุดพักร้อนอย่างน้อยสองสัปดาห์ ไปละลายความเครียด เหนื่อยล้า ชาร์จพลังก่อนแล้วค่อยมาทำงานกันต่อ คนอิตาลีส่วนใหญ่ไปพักร้อนที่ทะเล ภูเขา และตามเมืองเก่าแก่ ตอนนี้อิตาลีเปิดประเทศสำหรับท่องเที่ยวแล้ว ยุโรป เข้ามาได้ไม่ต้องกักตัว จำกัดแค่บางประเทศ ตามไปดูกัน Aug 2020
//พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี่ # 2 ฟลอเร้นซ์ภายนอก ฟลอเร้นซ์ (Florence) มีสถานะเป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานีมาตั้งแต่ยุคกลาง ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ยุโรปกลับไปหลังจากที่โรมันรวบรวมแผ่นดินยุโรปให้อยู่ในอานัติของตัวเองเป็นเวลาหลายร้อยปี พออำนาจเริ่มเสื่อมลงต้องแบ่งเป็นโรมันตะวันตก และโรมันตะวันออกและสุดท้ายก็ไม่เหลืออำนาจอีกต่อไป ยุโรปหลังยุคโรมันเสื่อมอำนาจจึงมีเมืองเล็กเมืองน้อยกระจัดกระจายเป็นร้อยๆเมือง โดยมีสันตปาปาเป็นเหมือนคนคุมอำนาจตัวจริงทุกเมืองจะทำอะไรต้องได้รับความยินยอมไม่งั้นถูกคว่ำบาทก็จะอยู่ลำบาก อำนาจสันตปาปาค่อยๆออกจากเรื่องศาสนามาสู่การเมืองการปกครองและผลประโยชน์มากขึ้น ยุโรปในยุคกลางตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึง 12 เป็นแบบนั้น ศิลปะอะไรก็เกิดมาเพื่อรับใช้ศาสนจักร รูปวาด สถาปัตยกรรมล้วนแต่ถูกจำกัดให้เล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา ถูกใช้เป็นสื่อเพื่อฝังหัวคน (Propaganda) จนคนก็คงจะเริ่มๆเบื่อกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ศิลปะยุคกำเนิดใหม่หรือเรเนซอง มีการใช้ศิลปะไปเล่าเรื่องอื่นบ้างนอกจากศาสนา กลับไปเอาศิลปะแบบกรีกและโรมันมาทำให้ทันสมัยขึ้น มีการตีความศิลปะกันใหม่ จุดเริ่มต้นของเรเนซองนั้นเริ่มต้นที่ทัสคานี โดยมีสองเมืองเป็นคู่แข่งกันคือฟลอเร้นซ์ (Florence) หรือคนท้องถิ่นจะเรียกว่า ฟิเรนเซ่ (Firenze) กับเซียนน่า (Siena) แต่เนื่องด้วยชัยภูมิฟลอเร้นซ์ได้เปรียบตรงมีพื้นที่ราบมากกว่ามีแม่น้ำอาร์โน (Arno) ไหลผ่านกลางจึงมีความมั่งคั่งกว่า ประกอบกับเจ้าเมืองตระกูลเมดิชี เป็นผู้หลงไหลในศิลปะและใช้ศิลปะในการประกาศว่าเมืองของตัวเองเจ๋งกว่าที่อื่น เหล่าศิลปินจึงได้รับการสนับสนุนและได้ค่าแรงอย่างงาม ที่นี่จึงเป็นต้นกำเนิดของศิลปินชื่อดังที่เรารู้จัก เช่นสายวาดก็ ราฟาเอล บอลติเชลลี่ จ๊อตโจ สายปั้นก็เช่น ไมเคิลแองเจโล สายสถาปัตยกรรมก่อสร้างก็เช่น บรูเนสเชลลี่ ดา วินชี่ เรียกว่าศิลปินระดับตำนานเยอะจนบางคนต้องไปก่อร่างสร้างตัวที่เมืองอื่นเพราะที่นี่เจ้าถิ่นแรง หรือพอเริ่มดังขึ้นมาเป็นดาวรุ่งเจ้าเมืองอื่นก็ซื้อตัวไป คงเหมือนนักบอลดังๆที่ถูกสโมสรยักษ์ใหญ่ซื้อตัวไปร่วมทีม เช่นมิลานซื้อ ดา วินชี่ไป วาติกันซื้อไมเคิล แองเจโล่ไปแบบนั้น ใครที่ชื่นชอบศิลปะโดยเฉพาะปลายยุคกลางต่อเรเนซองต้องมาสองเมืองนี้ แค่บรรยากาศภายนอกยังไม่ต้องเข้าโบสถ์หรือพิพิธภัณฑ์ ก็สัมผัสได้ถึงศิลปะและบรรยากาศแบบอาร์ทๆแล้ว รวมๆแล้วเมืองจะเป็นตึกที่มีสีปูนเปลือย สีเหลืองอ่อน และสีส้มผสมๆกัน ตรงกลางเป็นโบสถ์ ลานเมืองอยู่บนที่ราบแอ่งกระทะที่มีแม่น้ำผ่านกลาง เมื่อมองจากเขาด้านบนลงมาจะเห็นเมืองที่มีสีสันออกแนวเอิร์ทโทน อาร์ทแบบไม่ต้องการคำบรรยาย Aug 2020
//พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี # 3 ฟลอเร้นซ์เมืองศิลปะ ในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์จะสัมผัสได้ถึงศิลปะในทุกมุม ตั้งแต่การวางผังเมือง ลานกลางเมือง รูปปั้น โบสถ์ ตั้งอยู่สลับกับตึกสีเอิร์ทโทน แค่เดินชมจากภายนอกก็ฟินแล้ว ด้านในโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากศิลปะแล้วอาหารการกินก็ไม่แพ้ที่อื่น นำมาโดยไอติม เจลาโต ผมว่าที่นี่อร่อยสุดในอิตาลี โดยเฉพาะรสเมลอน ตามด้วยแฮม ชีส นม เห็ดทรุฟเฟิล เรียกว่าครบทั้งคาวหวาน บรรยากาศของเมืองยังคึกคัก แม้ว่าคนจะหายไปเกือบครึ่ง แต่ขนาดนี้กำลังดีแล้ว เมื่อก่อนมันมากเกินไป เห็นผลกระทบจากโควิทได้ชัด ร้านอาหาร ร้านค้าในแหล่งท่องเที่ยวปิดตัวไปกว่า 20% โรงแรมที่เหลืออยู่ก็ลดราคาลงมากว่าครึ่งขนาดช่วงนี้ถือเป็นไฮน์ซีซั่น ศิลปะยืนยงแต่คนไม่ มีใครเคยกล่าวเอาไว้ Aug 2020
พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี (Tuscany) # 6 ชิอานติ (Chianti) นอกจากศิลปะแล้ว ทัสคานี่ถือเป็นแหล่งอาหารของยุโรป และมีชื่อเสียงเรื่องไวน์ไม่แพ้ที่อื่น แหล่งไวน์ชื่อดังของทัสคานีอยู่ที่เมืองนึ้ ชิอานติ ไวน์ที่มีชื่อส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่ปลูกองุ่นหมักและขาย ไวน์อิตาลีมีเป็นร้อยยี่ห้อ มีมาตรฐานกำกับคือ DOC หรือ DOCG เวลาซื้อให้ดูตรามาตรฐานนี่ก่อนแล้วไปดูแหล่งผลิต วิธีการบ่ม ปีที่เก็บองุ่นแล้วก็ยี่ห้อ แถบโรงไวน์จะมีทัวร์ชิมไวน์มากมายตามแหล่งผลิต จะพาไปชมไร่องุ่น โชว์กระบวนการผลิต แล้วเอาไวน์รุ่นต่างๆของตัวเอง ประมาณ 4-5 ชนิดมาให้ชิม กับเบคอน ชีส ขนมปังน้ำมันมะกอก ถ้าชอบก็ซื้อได้ในราคาลดประมาณ 30-40% ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไรส่วนใหญ่คิดค่าชิมไปแล้ว Aug 2020
พักร้อนปีโควิท@ทัสคานี (Tuscany) # 7 ชนบททัสคานี (Under the Tuscany sun) นอกจากเมืองต่างๆแล้ว ชนบททัสคานีมีชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงาม ที่ราบสลับเนิน ต้นสน ต้นไม้ และบ้านสีอิฐ เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายคน ศิลปินยุคเรเนซองเกือบทุกคนจะมีรูปวาดทิวทัศน์ทัสคานี ภาพที่วาดส่วนใหญ่จะเป็นทิวทัศน์ช่วงระหว่างเซียนน่ากับซาน กิมิยาโน่ เส้นทางนี้จึงเป็นเส้นทางยอดฮิตของนักปั่นและขาแว้นด้วย ส่วนตัวคิดว่าก็คล้ายๆ ทิวทัศน์แถบเขาใหญ่บ้านเรา เพียงแต่เนินที่นี่สูงกว่า มีต้นสน และบ้านสีอิฐ ไม่ค่อยว้าวกับวิวนี้เท่าไหร่ Aug 2020
One of the most beautiful view on Earth Dolomite
There is no point in being wealthy if you are not healthy. Always Put health first.
I wish you a wonderful Monday & a pleasant new week 💙🌹💙
French Mousse Cake 🇫🇷
Look at this Thai river shrimp. The size is big but the taste is awesome.
GM frens
I am going to grow a beard until the next bull market
Great Breakfast. Begin Friday morning with happiness.
Seafood pizza with ocean sea view.🌊
Italian food in Thailand🇮🇹. The biggest difference is the ingredients and hands of 👨🍳. Nevertheless is amazing and yummy 🤤.
Who think we are in bear. 🧸Actually we’re in the space.🚀Thanks bear for the Doodles.🙏💗
Tea 🫖 times with 🍰. For treat myself.💪